วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

นิพพานที่เห็นได้เอง

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! 
คำที่พระโคดมกล่าวว่า
นิพพานที่เห็นได้เอง (สนฺทิฏฺฐิก นิพฺพาน) นิพพานที่เห็นได้เอง’ ดังนี้.
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! 
นิพพานที่เห็นได้เอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
เป็นสิ่งที่กล่าวกับผู้อื่นว่า
ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ใจ
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ได้เฉพาะตนนั้น
มีได้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรเล่า พระเจ้าข้า !


พราหมณ์ ! 
บุคคลผู้กำหนัดแล้ว
อันราคะครอบงำแล้ว
มีจิตอันราคะรึงรัดแล้ว
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองบ้าง
ย่อมเสวยเฉพาะซึ่งทุกขโทมนัสอันเป็นไปทางจิตบ้าง
เมื่อละราคะได้แล้ว
เขาย่อมไม่คิดแม้เพื่อเบียดเบียนตนเอง
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทั้งสองอย่าง
และย่อมไม่เสวยเฉพาะซึ่งทุกขโทมนัสอันเป็นไปทางจิตโดยแท้.
พราหมณ์ ! 
นิพพานที่เห็นได้เอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า
“ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ใจ
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน”

ย่อมมีได้ แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล.

พราหมณ์ ! 
บุคคลผู้เกิดโทสะแล้ว
อันโทสะครอบงำแล้ว
มีจิตอันโทสะรึงรัดแล้ว
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองบ้าง
ย่อมเสวยเฉพาะซึ่งทุกขโทมนัสอันเป็นไปทางจิตบ้าง
เมื่อละโทสะได้แล้ว
เขาย่อมไม่คิดแม้เพื่อเบียดเบียนตนเอง
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทั้งสองอย่าง
และย่อมไม่เสวยเฉพาะซึ่งทุกขโทมนัสอันเป็นไป

ทางจิตโดยแท้.
พราหมณ์ ! 
นิพพานที่เห็นได้เอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า
“ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ใจ
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน”

ย่อมมีได้ แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล.

พราหมณ์ ! 
บุคคลผู้มีโมหะแล้ว
อันโมหะครอบงำแล้ว
มีจิตอันโมหะรึงรัดแล้ว
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง
ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสองบ้าง
ย่อมเสวยเฉพาะซึ่งทุกขโทมนัสอันเป็นไปทางจิตบ้าง
เมื่อละโมหะได้แล้ว
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อเบียดเบียนตนเอง
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อเบียดเบียนผู้อื่น
ย่อมไม่คิดแม้เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทั้งสองอย่าง
และย่อมไม่เสวยเฉพาะซึ่งทุกขโทมนัสอันเป็นไปในทางจิตโดยแท้.
พราหมณ์ ! 
นิพพานที่เห็นได้เอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า
“ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ใจ
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน”

ย่อมมีได้ แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล.

พราหมณ์ !  
เมื่อใดแล ผู้นี้
ย่อมเสวยเฉพาะซึ่งความสิ้นไปแห่งราคะ อันหาเศษเหลือมิได้
ย่อมเสวยเฉพาะซึ่งความสิ้นไปแห่งโทสะ อันหาเศษเหลือมิได้
ย่อมเสวยเฉพาะซึ่งความสิ้นไปแห่งโมหะ อันหาเศษเหลือมิได้
พราหมณ์เอย ! 
เมื่อนั้น นิพพานที่เห็นได้เอง
ไม่ประกอบด้วยกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า
“ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ใจ
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน”

ย่อมมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้แล.

-บาลี ติก. อํ. ๒๐/๒๐๒/๔๙๕.

พุทธวจน ภพภูมิ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น