วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

เห็นประจักษ์ตามความเป็นจริง

สัตว์โลกนี้
เกิดความเดือนร้อนแล้ว มีผัสสะบังหน้า
ย่อมกล่าวซึ่งโรคนั้น โดยความเป็นตน
เขาสำคัญสิ่งใด โดยความเป็นประการใด
แต่สิ่งนั้นย่อมเป็นโดยประการอื่น จากที่เขาสำคัญนั้น.
สัตว์โลกติดข้องอยู่ในภพ ถูกภพบังหน้าแล้ว
มีภพโดยความเป็นอย่างอื่น
จึงได้เพลิดเพลินยิ่งนักในภพนั้น.
เขาเพลิดเพลินยิ่งนักในสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นภัย
เขากลัวต่อสิ่งใด สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์.

พรหมจรรย์นี้
อันบุคคลย่อมประพฤติ ก็เพื่อการละขาดซึ่งภพ นั้นเอง.
สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด
กล่าวความหลุดพ้นจากภพ ว่ามีได้เพราะ ภพ;
เรากล่าวว่า สมณะทั้งปวงนั้น มิใช่ผู้หลุดพ้นจากภพ.
ถึงแม้สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด
กล่าวความออกไปได้จากภพ ว่ามีได้เพราะ วิภพ;
เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์ทั้งปวงนั้น
ก็ยังสลัดภพออกไปไม่ได้.

ก็ทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยซึ่ง อุปธิ ทั้งปวง.
ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ไม่มี
ก็เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทานทั้งปวง.

ท่านจงดูโลกนี้เถิด(จะเห็นว่า) สัตว์ทั้งหลาย
อันอวิชชาหนาแน่นบังหน้าแล้ว;
และว่าสัตว์ผู้ยินดีในภพ อันเป็นแล้วนั้น
ย่อมไม่เป็นผู้หลุดพ้นไปจากภพได้.

ก็ภพทั้งหลายเหล่าหนึ่งเหล่าใด
อันเป็นไปในที่หรือในเวลาทั้งปวง
เพื่อความมีแห่งประโยชน์โดยประการทั้งปวง;
ภพทั้งหลายทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา.

เมื่อบุคคลเห็นอยู่ซึ่งข้อนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง อย่างนี้อยู่;
เขาย่อมละภวตัณหาได้
และไม่เพลิดเพลินซึ่งวิภวตัณหาด้วย.
ความดับเพราะความสำรอกไม่เหลือ
เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาโดยประการทั้งปวง
นั้นคือ นิพพาน.
ภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับเย็นสนิทแล้ว
เพราะไม่มีความยึดมั่น.
ภิกษุนั้นเป็นผู้ครอบงำมารได้แล้ว
ชนะสงครามแล้วก้าวล่วงภพทั้งหลายทั้งปวงได้แล้ว
เป็นผู้คงที่ ดังนี้แล.
        บาลี อุ. ขุ. ๒๕/๑๒๑/๘๔.

เห็นประจักษ์ตามความเป็นจริง ผัสสะบังหน้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น