วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ลัทธิที่เชื่อว่าสุขและทุกข์ เกิดจากกรรมเก่าอย่างเดียว

ภิกษุทั้งหลาย ! ลัทธิ 3 ลัทธิเหล่านี้มีอยู่.
เป็นลัทธิ ซึ่งแม้บัณฑิตจะพากันไตร่ตรอง จะหยิบขึ้นตรวจสอบ จะหยิบขึ้นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร
แม้จะบิดผันกันมาอย่างไร ก็ชวนให้น้อมไปเพื่อการไม่ประกอบกรรมที่ดีงามอยู่นั่นเอง.
ภิกษุทั้งหลาย ! ลัทธิ 3 ลัทธินั้นเป็นอย่างไรเล่า ? 3 ลัทธิคือ
(1)
สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุรุษบุคคลใดๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน” ดังนี้.
(2)
สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุรุษบุคคลใดๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะการบันดาลของเจ้าเป็นนาย
” ดังนี้.
(3)
สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุรุษบุคคลใดๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข หรือได้รับทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย” ดังนี้.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในบรรดาลัทธิทั้ง 3 นั้น สมณพราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุคคลได้รับสุข หรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
เพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนอย่างเดียว” มีอยู่
เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว
เรากล่าวกับเขาว่า
ถ้ากระนั้น คนที่ฆ่าสัตว์…ลักทรัพย์…ประพฤติผิดพรหมจรรย์…พูดเท็จ …
พูดคำหยาบ … พูดยุให้แตกกัน … พูดเพ้อเจ้อ…มีใจละโมบเพ่งเล็ง…มีใจพยาบาท …
มีความเห็นวิปริตเหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นก็ต้องเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน.
เมื่อมัวแต่ถือเอากรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
คนเหล่านั้น ก็ไม่มีความอยากทำ หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า
สิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ) สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป.
เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว
คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่าเป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในบรรดาลัทธิทั้ง 3 นั้น สมณพราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุคคลได้รับสุขหรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะอิศวรเนรมิตให้ (อิสฺสรนิมฺมานเหตูติ)
” ดังนี้ มีอยู่
เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว
เรากล่าวกะเขาว่า
ถ้ากระนั้น คนที่ฆ่าสัตว์…ลักทรัพย์…ประพฤติผิดพรหมจรรย์…พูดเท็จ …
พูดคำหยาบ … พูดยุให้แตกกัน … พูดเพ้อเจ้อ…มีใจละโมบเพ่งเล็ง…มีใจพยาบาท …
มีความเห็นวิปริต เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นั่นก็ต้องเป็นเพราะการเนรมิตของอิศวรด้วย.
ก็เมื่อมัวแต่ถือเอาการเนรมิตของอิศวร มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า
สิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ) สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป.
เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว
คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่าเป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.

ภิกษุทั้งหลาย ! ในบรรดาลัทธิทั้ง 3 นั้น สมณพราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า
บุคคลได้รับสุข หรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์
ทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย” ดังนี้ มีอยู่.
เราเข้าไปหาสมณะและพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สอบถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว
เรากล่าวกะเขาว่า
ถ้ากระนั้น คนที่ฆ่าสัตว์…ลักทรัพย์…ประพฤติผิดพรหมจรรย์…พูดเท็จ …
พูดคำหยาบ … พูดยุให้แตกกัน … พูดเพ้อเจ้อ…มีใจละโมบเพ่งเล็ง…มีใจพยาบาท …
มีความเห็นวิปริต เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นั่นก็ต้องไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลยด้วย.
ก็เมื่อมัวแต่ถือเอาความไม่มีอะไร เป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว
คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ หรือความพยายามทำ
ในข้อที่ว่าสิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ) สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป.
เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจ ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริงๆ จังๆ กันแล้ว
คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่าเป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.

- ติก. อํ. 20/224/501


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น