วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สักแต่ว่า... (นัยที่ ๒)

“ข้าแต่พระองค์เจริญ ! ข้าพระองค์เป็นคนชรา เป็นคน
แก่คนเฒ่ามานานผ่านวัยมาตามลำดับ. ขอพระผู้มีพระภาคทรง
แสดงธรรมโดยย่อ ขอพระสุคตจงทรงแสดงธรรมโดยย่อ ใน
ลักษณะที่ข้าพระองค์จะพึงรู้ทวั่ ถึงเนื้อความแห่งภาษิตของพระผู้มี
พระภาคเจ้า ในลักษณะที่ข้าพระองค์จะพึงเป็นทายาทแห่งภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด พระเจ้าข้า !”
มาลุงก๎ยบุตร ! ท่านจะสำคัญความข้อนี้ว่า
อย่างไร คือ รูปทั้งหลาย อันรู้สึกกันได้ทางตา เป็นรูป
ที่ท่านไม่ได้เห็น ไม่เคยเห็น ที่ท่านกำลังเห็นอยู่ก็ไม่มี
ที่ท่านคิดว่าท่านควรจะได้เห็นก็ไม่มี ดังนี้แล้ว ความ
พอใจก็ดี ความกำหนัดก็ดี ความรักก็ดี ในรูปเหล่านั้น
ย่อมมีแก่ท่านหรือ ?
“ข้อนั้น หามิได้พระเจ้าข้า !”
(ต่อไปนี้ ได้มีการตรัสถาม และการทูลตอบในทำนอง
เดียวกันนี้ทุกตัวอักษร ผิดกันแต่ชื่อของสิ่งที่นำมากล่าว คือในกรณีแห่ง
เสียงอันรู้สึกกันได้ทางหู ในกรณีแห่ง กลิ่นอันรู้สึกกันได้ทางจมูก ใน
กรณีแห่ง รสอันรู้สึกกันได้ทางลิ้น ในกรณีแห่ง โผฏฐัพพะอันรู้สึกเป็นแต่เพียงสักว่า
ได้ยิน ;
ใน สิ่งที่ท่านรู้สึกแล้ว (ทางจมูก, ลิ้น, กาย)
จักเป็นแต่เพียงสักว่ารู้สึก ;
ใน สิ่งที่ท่านรู้แจ้งแล้ว (ทางวิญญาณ) ก็จัก
เป็นแต่เพียงสักว่ารู้แจ้ง.
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อใดแล ในบรรดาธรรม
เหล่านั้น : เมื่อ สิ่งที่เห็นแล้วสักว่าเห็น, สิ่งที่ฟังแล้ว
สักว่าได้ยิน, สิ่งที่รู้สึกแล้วสักว่ารู้สึก, สิ่งที่รู้แจ้งแล้ว
สักว่ารู้แจ้ง, ดังนี้แล้ว ;
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อนั้น ตัวท่านย่อมไม่มี
เพราะเหตุนั้น;
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อใดตัวท่านไม่มีเพราะ
เหตุนั้น, เมื่อนั้น ตัวท่านก็ไม่มีในที่นั้น ๆ ;
มาลุงก๎ยบุตร ! เมื่อใดตัวท่านไม่มีในที่นั้น ๆ,
เมื่อนั้นตัวท่านก็ไม่มีในโลกนี้ ไม่มีในโลกอื่น
ไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง :
นั่นแหละ คือที่สุดแห่งความทุกข์ ดังนี้.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์รู้ทั่วถึงเนื้อความ
แห่งภาษิตอันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยย่อนี้ ได้โดยพิสดาร
ดังต่อไปนี้ :-
เห็นรูปแล้วสติหลงลืม ทำในใจซึ่งรูปนิมิตว่า
น่ารัก มีจิตกำหนัดแก่กล้าแล้ว เสวยอารมณ์นั้นอยู่
ความสยบมัวเมาย่อมครอบงำบุคคลนั้น. เวทนาอันเกิด
จากรูปเป็นอเนกประการ ย่อมเจริญแก่เขานั้น. อภิชฌา
และวิหิงสาย่อมเข้าไปกลุ้มรุมจิตของเขา. เมื่อสะสม
ทุกข์อยู่อย่างนี้ ท่านกล่าวว่า ยังไกลจากนิพพาน.
(ในกรณีแห่งการฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้อง
โผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็มีข้อความที่กล่าวไว้
อย่างเดียวกัน).
บุคคลนั้นไม่กำหนัดในรูปทั้งหลาย เห็นรูป
แล้ว มีสติเฉพาะ มีจิตไม่กำหนัดเสวยอารมณ์อยู่ ความ
สยบมัวเมาย่อมไม่ครอบงำบุคคลนั้น. เมื่อเขาเห็นอยู่
ซึ่งรูปตามที่เป็นจริง เสวยเวทนาอยู่ทุกข์ก็สิ้นไป ๆ ไม่
เพิ่มพูนขึ้น เขามีสติประพฤติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้,
เมื่อไม่สะสมทุกข์อยู่อย่างนี้ ท่านกล่าวว่าอยู่ใกล้ต่อ
นิพพาน.
(ในกรณีแห่งการฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้อง
โผฏฐัพพะด้วยกาย รู้สึกธรรมารมณ์ด้วยใจ ก็มีข้อความที่กล่าวไว้
อย่างเดียวกัน).
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ข้าพระองค์รู้ทั่วถึงเนื้อความ
แห่งภาษิตอันพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยย่อนี้ ได้โดยพิสดาร
อย่างนี้ พระเจ้าข้า !”
พระผู้มีพระภาค ทรงรับรองความข้อนั้น ว่า
เป็นการถูกต้อง. ท่านมาลุงก๎ยบุตรหลีกออกสู่ที่สงัด
กระทำความเพียรได้เป็นอรหันต์องค์หนึ่งในศาสนานี้.
สฬา.สํ. ๑๘ / ๙๑-๙๕ / ๑๓๒-๑๓๙.

พุทธวจน มาลุงกยบุตร สักแต่ว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น