ภิกษุทั้งหลาย ! เราจักแสดงซึ่งปฏิจจสมุปบาท
(คือ ธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)
แก่พวกเธอทั้งหลาย.
พวกเธอทั้งหลาย จงฟังซึ่งปฏิจจสมุปบาทนั้น,
จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์,
เราจักกล่าวบัดนี้ ...
ภิกษุทั้งหลาย ! ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ?
(๑) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย
จะบังเกิดขึ้นก็ตาม,จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม,
ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว; คือ ความตั้งอยู่แห่งธรรมดา (ธัมมัฏฐิตตา),
คือ ความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา),
คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา).
ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น;
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว,
ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้
ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ;
และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู :
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี” ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุดังนี้แล :
ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือ ความเป็นอย่างนั้น,
เป็น อวิตถตา คือ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น,
เป็น อนัญญถตา คือ ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,
เป็น อิทัปปัจจยตา คือ ความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น;
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท
(คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).
(๒) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติย่อมมี. ...ฯลฯ…
(๓) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพย่อมมี. ...ฯลฯ…
(๔) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานย่อมมี. ...ฯลฯ…
(๕) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาย่อมมี. ...ฯลฯ...
(๖) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาย่อมมี. ...ฯลฯ…
(๗) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะย่อมมี. ...ฯลฯ…
(๘) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะย่อมมี. ...ฯลฯ…
(๙) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปย่อมมี. ...ฯลฯ...
(๑๐) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณย่อมมี. ...ฯลฯ…
(๑๑) ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายย่อมมี.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุที่พระตถาคตทั้งหลาย
จะบังเกิดขึ้นก็ตาม, จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม,
ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว;
คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา,
คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา,
คือความที่เมื่อสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
ตถาคตย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น;
ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว,
ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้
ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง
ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่ควํ่าและได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงดู :
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายย่อมมี” ดังนี้.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุดังนี้แล :
ธรรมธาตุใดในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น,
เป็น อวิตถตา คือ ความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น,
เป็น อนัญญถตา คือ ความไม่เป็นไปโดยประการอื่น,
เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น;
ภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท.
-บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๓๐/๖๑.
หน้าเว็บ
- หน้าแรก
- ทำไมต้องพุทธวจน
- เล่ม ๑ ตามรอยธรรม
- เล่ม ๒ คู่มือโสดาบัน
- เล่ม ๓ ก้าวย่างอย่างพุทธะ
- เล่ม ๔ มรรค (วิธีที่ )ง่าย
- เล่ม ๕ แก้กรรม
- เล่ม ๖ อานาปานสติ
- เล่ม ๗ ฆราวาสชั้นเลิศ
- เล่ม ๘ อินทรียสังวร
- เล่ม ๙ ปฐมธรรม
- เล่ม ๑๐ สาธยายธรรม
- เล่ม ๑๑ ภพภูมิ
- เล่ม ๑๒ เดรัจฉานวิชา
- เล่ม ๑๓ ทาน
- เล่ม ๑๔ ตถาคต
- เล่ม ๑๕ ปฏิบัติ สมถะวิปัสสนา
- เล่ม ๑๖ อนาคามี
- เล่ม ๑๗ จิต มโน วิญญาณ
- เล่ม ๑๘ สกทาคามี
- เล่ม ๑๙ สัตว์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น